|
เครื่องครัวที่เรารู้จักกันดี ไม่ว่าจะเป็นช้อนส้อมมีด, ชามแบ่ง, ถาดหลุม, หม้อซุป, หม้ออบความดัน, กระทะ ก็ล้วนแต่นำสแตนเลสสตีลมาทำ
การที่โลหะทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ หรือเรียกว่า การเกิดออกไซด์ จะทำให้เกิดการกัดกร่อนของเนื้อโลหะ ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกกันว่า "สนิมเหล็ก" (Stain) มีลักษณะเป็นเนื้อรูพรุน ซึ่งรูพรุนนี้จะกักเก็บไอน้ำ ออกซิเจน และสารเคมีอื่น ทั้่งจากอากาศและอาหาร สอดแทรกเข้าไปทำปฏิกิริยากับเนื้อเหล็กที่อยู่ใต้ชั้นออกไซด์ต่อได้ ทำให้เนื้อเหล็กที่อยู่ใต้ชั้นออกไซด์สามารถถูกกัดกร่อน
ต่อมาในปี พ.ศ. 1903 ได้มีวิวัฒนาการพัฒนาโลหะผสมอัลลอย (Alloy) ที่เรารู้จักกันดี คือ "สแตนเลสสตีล" (Stainless Steel) มีความหมายคือ เหล็กกล้าไร้สนิม เป็นเหล็กที่ีมีประมาณคาร์บอนต่ำ น้อยกว่า 2% ของน้ำหนัก มีส่วนผสมของโครเมียมอย่างน้อย 10.5% และได้เติม นิเกิล, โมบิดินัม, ไททาเนียม, ไนโอเนียม หรือโลหะอื่นแตกต่างกันไปตามชนิดของคุณสมบัติเชิงกล ลงในเหล็กกล้าธรรมดา ทำให้เหล็กกล้ามีความต้านทานการเกิดสนิมได้และการนำความร้อนได้ดีขึ้น
การมีโครเมียมผสมอยู่ในเหล็กกล้า ทำให้เเกิดมีฟิล์มออกไซด์บนพื้นผิวโลหะ กลายเป็นฟิล์มปกป้อง หรือพลาสซีฟ เลเยอร์ (Passive Layer) ที่มีสภาพเหมือนเป็นเกราะป้องกันการกัดกรอ่นเนื้อให้กับสแตนเลสสตึล ฟิล์มปกป้องนี้จะมีขนาดบางมาก โดยแผ่นสแตนเลสบางขนาด 1 มม. ฟิล์มหรือพลาสซีฟ เลเยอร์ นี้ จะมีความบางเทียบเท่ากับวางกระดาษ 1 แผ่น บนตึกสูง 20 ชั้น ถ้ามองด้วยตาเปล่าจะไม่เห็นฟิล์มนี้ ซึ่งเกาะติดแน่นและทำหน้าที่ปกป้องสแตนเลสจากการกัดกร่อน หากนำไปผลิตแปรรูปหรือใช้งานในสภาพที่เหมาะสม เมื่อเกิดการขึดข่วน ฟิล์มปกป้องนี้จะสร้างขึ้นใหม่ได้เองตลอดเวลา
สแตนเลสสตีลที่ใช้เป็นเครื่องครัว แบ่งเป็น 3 เกรด
- เกรด 18/0 มีส่วนประกอบ โครเมียม 0% , นิเกล 0%
- เกรด 18/8 มีส่วนประกอบ โครเมียม 8% , นิเกล 18%
- เกรด 18/10 มีส่วนประกอบ โครเมียม 10% , นิเกล 18% เป็นสแตนเลสสตีลที่นิยมใช้เป็นเครื่องครัวคุณภาพดี
นิเกลและโครเมียมยิ่งสูง จะเป็นสแตนเลสที่มีคุณภาพสูง จะทนต่อการกัดกร่อน การเกิดสนิม และสวยงามแวววาวยิ่งขึ้น
ข้อดีของการใช้สแตนเลสสตีล
- ความต้านทานการกัดกร่อนสูง
- ไม่มีปฏิกริยาต่อกรดและด่าง
- ไม่กระเทาะหรือแตกหักเสียหายง่าย ทนทานต่อการนำมาใช้งาน
ข้อเสียของการใช้สแตนเลสสตีล
- ไม่เก็บกักความร้อนเอาไว้นาน